ทุกวันนี้หลายคนอาจถือบัตรเครดิตมากกว่าหนึ่งใบ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกใบจะตอบโจทย์เรื่อง “คุ้มค่า” โดยเฉพาะสายช้อป สายกิน หรือคนที่ใช้จ่ายประจำในหมวดเดียวกัน คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่าควรมีบัตรเครดิตหรือไม่ แต่คือบัตรเครดิต Cash Back อันไหนดีที่จะคืนเงินกลับมาได้จริง และไม่ซ่อนเงื่อนไขที่ทำให้การใช้กลายเป็นภาระ
1.มองหมวดค่าใช้จ่ายหลักของตัวเองก่อน
สิ่งแรกที่ควรถามตัวเองคือ แต่ละเดือนเราใช้จ่ายกับอะไรเป็นหลัก เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าเดินทางออนไลน์ช้อปปิ้ง หรือการจ่ายบิลต่าง ๆ เพราะบัตรเครดิตแบบ Cash Back มักออกแบบมาให้ “คืนเงินเป็นเปอร์เซ็นต์” ในหมวดที่แตกต่างกัน หากใช้ไม่ตรงหมวดก็เหมือนถือบัตรฟรีที่ไม่ได้สิทธิ์เต็มที่
ตัวอย่างเช่น คนที่ทำงานในเมืองและขับรถทุกวัน การมองหาบัตรเครดิต Cash Back อันไหนดี ก็ควรพิจารณาที่ให้สิทธิ์คืนเงินสูงในหมวดน้ำมันหรือเติมรถ ขณะที่คนที่สั่งอาหารเดลิเวอรีแทบทุกวัน ก็ควรโฟกัสหมวดอาหารและแอปพลิเคชันต่าง ๆ มากกว่า
2.อย่ามองแค่เปอร์เซ็นต์ แต่ดูเพดานการคืนเงินด้วย
หลายโปรแกรมมักโฆษณาตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่ดูน่าดึงดูด เช่น คืนเงิน 5% หรือ 10% แต่สิ่งที่ควรตรวจสอบคือ “วงเงินคืนสูงสุดต่อรอบบิล” บางครั้งแม้จะได้คืนเปอร์เซ็นต์สูง แต่ถูกจำกัดเพดานไว้แค่ไม่กี่ร้อยบาทต่อเดือน ความคุ้มค่าก็ลดลงทันที
ดังนั้น เวลาตัดสินใจว่าบัตรเครดิต Cash Back อันไหนดี ควรเปรียบเทียบทั้งสองมิติไปพร้อมกัน คือเปอร์เซ็นต์คืนเงิน และวงเงินสูงสุด หากเราเป็นคนใช้จ่ายสูงในบางหมวด การเลือกบัตรที่ให้เพดานสูงจะดีกว่า แม้เปอร์เซ็นต์จะน้อยกว่าก็ตาม
3.เงื่อนไขซ่อนเร้นที่มักถูกมองข้าม
สิ่งที่ทำให้หลายคนผิดหวังคือเจอเงื่อนไขหลังสมัคร เช่น ต้องมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำในแต่ละรอบ ต้องแบ่งชำระ 0% ก่อนถึงจะได้สิทธิ์ หรือการจำกัดร้านค้าที่เข้าร่วม การจะหาคำตอบว่าบัตรเครดิต Cash Back อันไหนดี จึงต้องไม่หยุดแค่การอ่านโฆษณา แต่ต้องดูรายละเอียดข้อกำหนดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ด้วย
สำหรับปี 2025 เทรนด์ใหม่ที่หลายสถาบันการเงินเริ่มใช้คือการผูกสิทธิ์ Cash Back เข้ากับพฤติกรรมดิจิทัล เช่น การใช้จ่ายผ่าน Mobile Banking, QR Payment หรือ e-Wallet แทนการรูดบัตรแบบเดิม ๆ ซึ่งเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่เน้นความสะดวกและไม่พกเงินสด
4.เลือกบัตรที่ไปในทิศทางเดียวกับอนาคตการเงินส่วนตัว
สุดท้ายแล้ว การจะเลือกบัตรเครดิต Cash Back อันไหนดี ไม่ควรดูเพียงผลตอบแทนในวันนี้ แต่ต้องมองถึงการใช้จ่ายในอนาคตด้วย เช่น ถ้าตั้งใจจะท่องเที่ยวต่างประเทศบ่อย การเลือกบัตรที่คืนเงินในหมวด Travel หรือ Online Booking ก็จะตอบโจทย์มากกว่า ขณะที่คนที่โฟกัสเรื่องการออมและลงทุน บางบัตรก็มีสิทธิ์ผูกกับการนำเงินคืนเข้ากองทุนหรือบัญชีเงินฝากโดยอัตโนมัติ
ไม่มีบัตรใบไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่มีบัตรที่ “ใช่ที่สุด” สำหรับแต่ละคน การเลือกบัตรเครดิต Cash Back อันไหนดี จึงขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ การใช้จ่ายจริง และการวางแผนการเงินระยะยาว ถ้าเลือกอย่างมีสติ บัตรเครดิตไม่ใช่ภาระ แต่คือเครื่องมือที่ทำให้ทุกการใช้จ่ายกลับมามีมูลค่าเพิ่ม